วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

Poster ENERGY




นานมาครั้งครับ
คราวนี้เป็นรูปแบบของ Poster ครับ เอามาให้ดู 2 แบบ ถ้าเพื่อนๆเข้ามาดูก็ Comment หน่อยนะ
แล้วก็ขอให้เพื่อนๆมาเรียนในวันอังคารนี้ครบๆหน่อยนะครับ ทีมงานจะได้เก็บข้อมูลของงานแต่ละคน
แบบว่าครบถ้วนซะทีนะ แล้วอยากอยากได้ที่ บริเวณไหนในสตู โปรดแจ้ง ป้องด้วยครับ

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Ecological Footprint

โดยทั่วไปประเทศร่ำรวยมักสร้างรอยเท้า มากกว่าประเทศยากจน ซึ่งเท่ากับพวกเขาขาดแคลนทรัพยากร พวกเขาจึงจำเป็นต้องหยิบยืมจากประเทศที่สามารถผลิตได้มากกว่าบริโภค แต่การหยิบยืมจะต้องไม่มากเกินกว่าความสามารถของโลกโดยรวมที่จะรองรับรอยเท้าทางนิเวศ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่าง ประชากรที่กำลังเพิ่มขึ้นและทรัพยากรที่โดนใช้ไปและสร้างขึ้นมาโดยไม่เพียงพอที่ไม่สมกับความต้องการของมนุษย์

การคำนวณจำนวนประชากรจากมุมมองของการใช้ทรัพยากรหรือการสร้างรอยเท้าทางนิเวศ จะนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าแม้ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่าและอัตราการเพิ่มประชากรสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่ยังคงมีจำนวนรอยเท้าน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งนี้เพราะประชากรของประเทศกำลังพัฒนามีวิถีชีวิตที่ง่ายกว่าจึงสร้างรอยเท้าน้อยกว่า


























วิธีการเช่นนี้เป็นวิธีการเพื่อรักษาสมดุลของทรัพยากร ทางธรรมชาติเพื่อ หรือชะลอการหมดไปอย่างรวดเร็วของทรัพยากรบนโลก


Ecological Footprint


กระบวนการของมันประกอบไปด้วย การเชื่อมโยงระหว่างการค้า การส่งออกเพื่อกระจายทรัพยากรไปสู่ประเทศที่พัตนาเป็นหลัก ไม่ได้หมายความว่าทรัพยากรจากประเทศที่ กำลังพัฒนา จะไม่ได้ทรัพยากรจากประเทศที่ด้อยพัฒนา คือมีเข้ามาแต่ไม่มากเท่า

ประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศที่พัฒนาแล้วจะเป็น แกนสำคัญ ในกระบวนการนี้ Ecological Footprintหรือ การสร้างรอยเท้า

อัตราการเพิ่มของประชากร : ลดลงของทรัพยากร

ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 16 จำนวนประชากร โลกมีเพียงแค่ร้อยล้านคนและเพิ่มขึ้นอย่างช้า
กระทั่งถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็เพิ่มเป็น 600 ล้านคนและภายในเวลาเพียง 130 ปี
ก็เพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็น 2,000 ล้านคน และหลังจากนั้นอีกเพียง 70 ปี ก็เพิ่มขึ้นเป็น 6,000
ล้านคน การเพิ่มของประชากร จึงคล้ายระเบิดแตก มิใช่แบบทวีคูณ

นอกจากนี้ เรายังมีความเข้าใจผิด ในเรื่องเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มของประชากร คือ
1.การเพิ่มเป็นไปอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ
2.การเกิดเหตุการณ์พิเศษ เช่น สงครามโลกหรือโรคระบาดจะทำให้จำนวนประชากรลดลง
3.การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากสุขภาพที่ดีขึ้น

การคาดการณ์จำนวนประชากรโลกในอนาคตไว้ 3 ระดับ คือ
1.ระดับต่ำ ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.35 พันล้านคนในปี 2606 และจะค่อยๆ
ลดลงเหลือ 8 พันล้านคนในศตวรรษต่อไป
2.ระดับกลาง ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1 หมื่นล้านคนในปี 2602
และจะขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 10.48 พันล้าน ในปี 2625 และค่อยๆ ลดลงเหลือ 10.3
พันล้านเมื่อสิ้นคริสต์ ศตวรรษที่ 22
3.ระดับสูง ประชากรโลก จะเพิ่มขึ้นเกิน 1 หมื่นล้านคน ในปี 2600 และเพิ่มขึ้นถึง 1.2
หมื่นล้านคน ในปี 2638 โดยประชากรส่วนใหญ่ของโลกถึงกว่า 3 ใน 4 อาศัยอยู่ในเพียง
2 ทวีป คือ เอเชียและแอฟริกา ระหว่างปี 2545-2593 นั้นจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น 1
ใน 3 จะอยู่ในแอฟริกาและครึ่งหนึ่งจะอยู่ในเอเชีย แต่ละปีจำนวนประชากรของเอเชียแ
ละแอฟริกาเพิ่มขึ้น 49 และ 20 ล้านคนตามลำดับ ส่วนจำนวนประชากรชาวยุโรปลดลง
ปีละ 0.7 ล้านคน


จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เพื่อผลิตสิ่งต่างๆ สำหรับสนองความต้องการ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอาจยังผลให้เกิด
ภาวะขาดแคลน เช่น ในด้านของทรัพยากรดิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักสำหรับผลิตอาหารและ
การเพาะปลูกพืชอื่นๆ แม้ว่าโลกจะมีพื้นที่มากมาย แต่ก็อาจไม่เพียงพอเพราะปัจจัยหลาย
อย่าง โดยทั่วไปความเพียงพอของพื้นที่เพาะปลูกขึ้นอยู่กับ
1.ส่วนประกอบของอาหาร ที่รับประทาน
2.ความสามารถในการผลิตของดิน
3.ปริมาณน้ำที่สามารถหาได้ และ
4.การใช้สารเคมีในการเพาะปลูก


โลกมีทรัพยากรดินสำหรับการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และเป็นผืนป่าเท่ากับ ร้อยละ 68
ของพื้นที่ทั้งหมดบนผืนโลก

อย่างไรก็ดีมนุษย์เราไม่สามารถที่จะ นำพื้นที่ทั้งหมดบนโลกมาใช้ได้ ในปัจจุบันโลกจึงมี
พื้นที่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูประชากรได้เพียง 3 พันล้านคนเท่านั้น หากทุกคนใช้ทรัพยกร
เช่นเดียวกับประชากรในประเทศอุตสาหกรรมในปัจจุบัน จำนวนประชากรอาจเพิ่มขึ้น
เป็น 7.5 พันล้านคนได้ หากทุกคนใช้ทรัพยากรในระดับของประเทศที่มีประชากรบริโภค
อาหารง่ายๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจำพวกมังสวิรัติ แต่อาจเพิ่ม เป็น 2 หมื่นล้านคนได้หากทุก
คนใช้ทรัพยากรเพียงจำกัด หรือเท่าๆ กับประชากรของโลกที่ยากจนในขณะนี้
ประเทศที่เริ่มมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงประชากร ต่อคนในขณะนี้ คือ
อิสราเอล บังกลาเทศ สาธารณรัฐคองโก สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ จอร์แดน อียิปต์
เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ โอมาน บรูไน คูเวต และสิงคโปร์

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

การใช้ชีวิต

เมื่อในโลกเกิดเหตุการที่ทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายและเป็นอยู่ของมนุษย์
เราจะทำอย่างไรที่เราจะเป็นอยู่และใช้จ่ายได้เหมือนแต่ก่อน "แม๋ มันช่างยากเย็นจริงๆ

ทุกวันของเราจับจ่ายใช้สอยอย่างปกติ แต่ในเมื่อของใช้ต่างๆ เริ่ม มีการปรับราคาสูงขึ้น
เราจะทำอย่างในในการ เก็บเงิน เพื่อใช้ในยามจำเป็น น่าจะมีอะไรบางอย่างที่ช่วยกระตุ้น
ในการเก็บเพื่อใช้จ่ายให้มากขึ้น หรือช่วยในการ แบ่งสัดส่น ของเงินไปใช้จ่ายในวันต่อๆไป
โดยไม่ต้องกังวล กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในวันข้างหน้า ว่าเราจะเหลือใช้หรือเปล่า

แนวคิด

1.เริ่มจาการ ตัดบางส่วนของการใช้ในวันนี้ออกไปโดยไม่จำเป็น หรือใช้ให้น้อยลง

2.นำส่วนที่เหลือใช้ไปใช้ได้ในอาทิตหน้า ในวันเดียวกัน โดยใช้แบบสัดส่วนเดิม

3.ทำเหมือนข้อ 1 กับข้อ 2

นี่เป็นแนวคิดแรก ในการออกแบบของสิ่งนั้น

ในการตัดของบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปใช้นั้นเหมือนกับว่าการงดใช้พลังงานออกไปด้วย
"ผมคิดว่าถ้าเราแบ่งสัดส่วนในวันที่ใช้จ่ายออกไป เราก็สามารถมีใช้ได้ ในเวลาที่เราคับขัน"

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

อัตราการเพิ่ม : ลดลงของทรัพยากร

อัตราการเพิ่ม
ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 16 จำนวนประชากรโลกมีเพียงแค่ร้อยล้านคนและเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ กระทั่งถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็เพิ่มเป็น 600 ล้านคน และภายในเวลาเพียง 130 ปี ก็เพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็น 2,000 ล้านคน และหลังจากนั้นอีกเพียง 70 ปี ก็เพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านคน การเพิ่มของประชากร จึงคล้ายระเบิดแตก มิใช่แบบทวีคูณ

นอกจากนี้ เรายังมีความเข้าใจผิด ในเรื่องเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มของประชากร คือ
1.การเพิ่มเป็นไปอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ
2.การเกิดเหตุการณ์พิเศษ เช่น สงครามโลกหรือโรคระบาดจะทำให้จำนวนประชากรลดลง
3.การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ความจริงก็คือ

การคาดการณ์จำนวนประชากรโลกในอนาคตไว้ 3 ระดับ คือ
1.ระดับต่ำ ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.35 พันล้านคนในปี 2606 และจะค่อยๆ ลดลงเหลือ 8 พันล้านคนในศตวรรษต่อไป
2.ระดับกลาง ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1 หมื่นล้านคนในปี 2602 และจะขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 10.48 พันล้าน ในปี 2625 และค่อยๆ ลดลงเหลือ 10.3 พันล้านเมื่อสิ้นคริสต์ ศตวรรษที่ 22
3.ระดับสูง ประชากรโลก จะเพิ่มขึ้นเกิน 1 หมื่นล้านคน ในปี 2600 และเพิ่มขึ้นถึง 1.2 หมื่นล้านคน ในปี 2638 โดยประชากรส่วนใหญ่ของโลกถึงกว่า 3 ใน 4 อาศัยอยู่ในเพียง 2 ทวีป คือ เอเชียและแอฟริกา ระหว่างปี 2545-2593 นั้นจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น 1 ใน 3 จะอยู่ในแอฟริกาและครึ่งหนึ่งจะอยู่ในเอเชีย แต่ละปีจำนวนประชากรของเอเชียและแอฟริกาเพิ่มขึ้น 49 และ 20 ล้านคนตามลำดับ ส่วนจำนวนประชากรชาวยุโรปลดลงปีละ 0.7 ล้านคน


ลดลงของทรัพยากร
จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นเป็นเงา ตามตัวเพื่อผลิตสิ่งต่างๆ สำหรับสนองความต้องการ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอาจยังผลให้เกิดภาวะขาดแคลน เช่น ในด้านของทรัพยากรดิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักสำหรับผลิตอาหารและการเพาะปลูกพืชอื่นๆ แม้ว่าโลกจะมีพื้นที่มากมาย แต่ก็อาจไม่เพียงพอเพราะปัจจัยหลายอย่าง โดยทั่วไปความเพียงพอของพื้นที่เพาะปลูกขึ้นอยู่กับ

1.ส่วนประกอบของอาหาร ที่รับประทาน
2.ความสามารถในการผลิตของดิน
3.ปริมาณน้ำที่สามารถหาได้
4.การใช้สารเคมีในการเพาะปลูก โลกมีทรัพยากรดินสำหรับการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และเป็นผืนป่าเท่ากับ หรือร้อยละ 68 ของพื้นที่ทั้งหมดบนผืนโลก

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คาดอีก 4 ปีพลเมืองโลก 7,000 ล้านคน


หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐระบุ ภายใน 4 ปีข้างหน้าประชากรทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านคน และภายในปี 2593 อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีน เพราะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีความเจริญทางการแพทย์และโภชนาการมากขึ้น


โดย สำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐประเมินว่า จำนวนประชากรทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านคน ภายในปี 2555 เนื่องจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีความเจริญก้าวหน้าทางด้านการแพทย์และโภชนาการสูงขึ้น และจำนวนประชากรโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านคนดังกล่าว เปรียบเทียบกับจำนวน 6,000 ล้านคน เมื่อปี 2542 และว่าภายในปี 2593 อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีน


อย่างไรก็ตาม สำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐระบุว่า จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้ เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 50 ระหว่างปี 2542-2583 จากที่เคยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 100 จาก 3,000 ล้านคนเมื่อปี 2502 เป็น 6,000 ล้านคนเมื่อปี 2542 และจะเป็น 9,000 ล้านคนในปี 2583


นอกจากนี้ ยังมีการคาดหมายว่า จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปีภายในปี 2593 จากอัตราราวร้อยละ 1.2 ต่อปีในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 สำหรับในปัจจุบัน จีนยังคงครองแชมป์ประชากรมากที่สุดในโลก โดยจีนมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,320 ล้านคน รองลงมาเป็นอินเดีย มีประชากร 1,130 ล้านคน อันดับ 3 ได้แก่สหรัฐ มีประชากร 304 ล้านคน อันดับ 4 อินโดนีเซีย มีประชากร 232 ล้านคน และบราซิลอันดับ 5 มีประชากร 187 ล้านคน ขณะที่ญี่ปุ่นมีประชากร 128 ล้านคน ฟิลิปปินส์ 89 ล้านคนและเวียดนาม 84 ล้านคน

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551

การงดใช้พลังงาน

Calendar : Diary
ในสายตาของมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเรา เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จะรู้สึกว่าชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกของเรา และสามารถป้องกันตัวเราให้เป็นอย่างดี แต่โลกแห่งความจริงในปัจจุบัน
ความหนาของบรรยากาศเหลือเพียงน้อยนิด
และคำตอบง่ายๆ ที่เป็นสาเหตุ ซึ่งทุกคนทั่วโลกได้เห็นแล้วก็คือ ปัญหาสภาวะโลกร้อน ที่เกิด
จากการพัฒนาที่เกินความพอเพียง นั่นเป็นเพราะการที่เราใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้มีการปล่อย กีาซคาร์บอนไดออกไซด์ สู่ชั้นบรรยากาศบางๆ จึงเกิดสภาวะเรือนกระจก
โดยความร้อนที่เกิดจากดวงอาทิตย์ถูกกักเก็บไว้มากขึ้นส่งผลให้สภาพดินฟ้าอากาศของโลก
เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไป
สภาวะโลกร้อนดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่การแก้ปัญหาก็สามารถทำได้ถ้าทุกคนมีส่วนร่วม
เพื่อช่วยเหลือส่วนรวมในสังคม แต่อุปสรรคอยู่ที่ว่าเราต้องต่อสู้เอาชนะกับความเคยชินของเราเท่านั้นเอง
เรื่องเหล่านี้จึงเกี่ยวเนื่องเกี่ยวกับเรื่องที่น่าสนใจ คือ ปฏิทิน การที่จะทำปฏิทินย้อนหลังนั้นมัน
ยาก “ผมจึงเลือก ทำบางอย่างที่เหมาะสม แต่ยังเกี่ยวกับเรื่องของปฏิทิน โดยเลือกที่จะทำ
Diary ที่ปลูกจิตสำนึก


เอาเป็นว่าองค์ประกอบของปฏิทินองประกอบของมันก็มีให้เห็น คาตาอยู่แล้ว


ว่ากำหนดวันต่างๆ ในรอบ1เดือนก็จะเห็นได้ว่าปฏิทิน มีการบ่งบอกวันพิเศษวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บอกวันหยุดราชการ แล้วถ้าอันไหนที่ดูเป็น Inter หน่อยก็บอกถึงวันที่ หรือวันที่พิเศษของต่างปรัเทศด้วย



องค์ประกอบของ Diary ก็จะมี

ปฏิทิน ในเดือนนั้น ข้างขึ้นข้างแรมเวลาในแต่ละวันเพื่อจดบันทึกใน Diary

บ่งบอกปี

เริ่มตั้งแต่เวลา 7.00___8.00___ 9.00___10.00___11.00___12.00............ไปจนถึงเวลา18.00น.

สรุป ทั้ง 2 อย่างที่องค์ประกอบที่เหมือนกัน แต่ที่แตกต่างกันคือ Diary เพราะว่าจะเพิ่มเวลา ตารางในการจดบันทึกในแต่ละวันเข้าไปนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2551

calendar

กลับมาลุยกันอีกครั้ง คราวนี้เป็น Com.Design5

มาดูรอบๆตัวกันว่าอะไรที่มันใช้แล้วมันยังไม่คุ้มค่า แล้วสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุก็ลองมองไปรอบๆตัว มันมีมากมายซะเหลือเกิน เต็มไปหมด ไม่รู้จะเลือกเอาชิ้นไหนดีว่าที่คนมองข้าม และในที่สุดก็ไปเจอของชิ้นนี้ซึ่งมันอยู่กับเราทุกวันอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ ปฏิทิน(calender) ครับ



ลองมาดูประโยชน์ของมันว่ามีอะไรบ้างครับ

-แน่นอนครับไว้ดูวันเดือนปี

-หาวันพิเศษสำหรับใครบางคน

-บอกวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดราชการ หรือ เสาร์/อาทิตย์

-บอกวันและเดือนของปีนั้นๆ

-สามารถกำหนดวันนัดหมายล่วงหน้าได้

เห็นแล้วมันช่างมีประโยชน์มากมายขนาดไหนครับ และยังมีรูปแบบของปฎิทินที่หลากหลายสามารถพกติดตัวได้ในรูปแบบการ์ดก็มี

แต่ลองมองในมุมมืดของมันดูบ้างครับ

เมื่อหมดปีต่อปีมันจะหมดอายุการใช้งานทันที ไม่สารถนำมันมาติดตัวข้ามปีได้เพราะเราจะต้องมองหาปฏิทินของปีใหม่นี้โดยธรรมชาติ มันจะแปลสภาพเป็นขยะทันที และยังมีปฏิทินที่มีลักษณะต่างกันไป ยกตัวอย่าง ปฏิทินของจีนที่การใช้สอยออกแบบมาให้มีลักษณะใช้งานโดยการฉีกเมื่อวันต่อวัน สิ้นเปลืองกระดาษมาก ลองนึกย้อนหลังไป 10 ปี ครับ ว่าขยะจากปฏิทินจะมากขนาดไหนแล้วจะเป็นยังไงในอีก 10 ปีข้างหน้า

สุดท้ายครับ

จริงๆแล้วเรื่องของปฏิทินมันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากๆเลยครับ แต่เราไม่เคยหันกลับมามองมันเลยว่า จริงแล้วก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน

โครงการครั้งนี้ผม ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป แต่ก็จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แน่นอนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

หนังสือแนะนำ



โลกอัจฉริยะ นลิน พรประทาน และคณะ สำนักพิมพ์เวิร์คพอยท์ พิมพ์ครั้งที่ 2 จำนวน 400 หน้า ราคา 1,200 บาท

โลกอัจฉริยะ นำเสนอเรื่องราวชีวประวัติของอัจฉริยะบุคคลที่มีช่ือเสียงทั่วโลก ในแบบที่กระชับ เข้าใจง่าย แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ ยุคก่อนคริสต์ศักราช ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 1-18 ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19- ปัจจุบัน พร้อมด้วยภาคผนวกเรื่องอัจฉริยะนักคิด นักประดิษฐ์ของแต่ละยุค

การนำเสนอเรื่องราวอัจฉริยบุคคลในเล่มคัดสรรมาจากหลากหลายสาขาวิชาที่น่าสนใจ ทั้งนักประดิษฐ์ นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียง เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นบทเรียนและแรงจูงใจให้เยาวชนได้ต่อสู้กับอุปสรรค ปัญหานานาประการ ก่อนที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่จุดหมาย ไม่มีใครเกิดมาเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิด มีแต่การฝึกฝนและการค้นหาตัวเองอย่างไม่ย่อท้อเท่านั้น ที่ทำให้พวกเขาหรือเธอเหล่านั้นมีช่ือเสียงขึ้นมาได้

หนังสือ “โลกอัจฉริยะ” รูปแบบใหม่ จัดพิมพ์อย่างประณีต ด้วยการเย็บเล่มปกแข็ง ระหว่างเรื่องราวของแต่ละคน สอดแทรกด้วยคำคมของเหล่าอัจฉริยะทั้งภาษาอังกฤษและคำแปลภาษาไทย เป็นระยะ ๆ โดยเริ่มต้นเนื้อหาด้วยการเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถด้านต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วต่อด้วยเรื่องราวของอัจฉริยะบุคคลที่มีชื่อเสียงทั่วโลก 107 คน

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เสพ


งานวิชา Computer Art


อาจารย์ให้โจทย์มาว่า ให้เรากำหมดคำมา 1 คำ โดยเราต้องไปหาคนที่ต่างอาชีพกัน 3 ประเภท แล้วแต่เราแล้วสำภาษเก็บข้อมูล ให้เราทำออกมาเป็นงาน เลยเลือกออกมา 3 อาชีพคือ

1.ตำรวจ

2.นักศึกษา

3.ค้าขาย


ตำรวจ : พูดถึงเรื่อง ผลของการเสพ ไม่ว่าจะเป็น การติดคุก ตาย ช็อก ผลกระทบโดย

นักศึกษา : พูดถึงในเรื่องการอ่าน มากๆ การทำความเข้าใจมากๆ การที่รู้เรื่องหนึ่งก่อน ก่อนที่จะรู้อีกเรื่องหนึ่ง

ค้าขาย : เป็นอาแป๊ะขายกาแฟ ตลกมากครับเขาเป็นคนสนุกสนานตลอดเวลา เก็บข้อมูลเขาได้ว่าเขาชอบเที่ยวผู้หญิงคับ พูดเกี่ยวกับเสพไปในทางลามกลามกหน่อยแต่ก็สนุกดี


เราจึงสรุปออกมาได้ว่ากราเสพ คือ การที่ซึมซับ แทรกซึมลงไปโดยตั้งใจ โดยทั้งดีและไม่ดีถือว่าวนเวียนอยู่ในชีวิตคนเรา


เลือกที่จะทำงานออกมาเป็น Graphic

เป็นร่างกายของคนที่ซึมซับในเรื่องราวมากมายที่ไหลเวียนไปตามเส้นเลือที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนๆนั้น

Company of Heroes


มีเกมส์ มาแนะนำให้เล่นคับ

เป็นเกมส์เกี่ยวกับสงคราม เราสามารถเลือกที่จะควบคุม วางแผน โจมตี ตั้งรับ สนุกมากเลยคับ

แถมคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องราวคล้ายๆ สงครามโลก ด้วย

ส่วนภาพก็ไม่ต้อห่วง ภาพสวยจิงคับรับประกันได้เลย


เอาไว้เล่นตอนว่างๆนะครับ ลองแล้วก็จะติดใจ สำหรับคนชอบวางแผนนะคับ
แนะนำ----ซื้อของแท้นะครับเพราะว่าจะได้คุ้มกว่า

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2551

การให้ความสำคัญ


จากที่พูดไปคับ เปรียบกับบ้าน Macro คือ บ้าน / Micro คือตัวเรา

แต่ถ้าเป็นเรื่องของ สถานะ กับตัวเรากับบ้าน เราก็จะเป็นMacro บ้าน คือ micro ของเรา

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของ อัตวิสัย และ ภววิสัย
อัตวิสัย คือ อาศัยทัศนของตัวเอง เอาความรู้สึก แนวความคิด ของตนเป็นที่ตั้ง
ภววิสัย คือ สภาวะที่เกิดขึ้น
จากเรื่องที่ยกตัวอย่างไป ทำให้รู้ว่า มันอยู่ที่คนมองว่า "จะให้ความสำคัญตรงไหนมากกว่ากัน"
มากกว่า

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

Macro and Micro

สุดไปเลยครับรอบนี้
Macro คือ จุดใหญ่
ถ้าจะลงลึกถึงความหมายก็คือ การบังคับ Unit ในขณะที่ Unit มีจำนวนมาก เป็นกลุ่มใหญ่ๆ บังคับและควบคุมแบบไม่ต้องละเอียดมากนัก มีหน้าที่คุมส่วนที่ใหญ่จิงๆ

Micro คือ จุดเล็ก
มันหมายถึง การบังคับหรือควบคุม Unit ในขณะที่ Unit มีจำนวนไม่มากนัก เป็นกลุ่มเล็กๆ บังคับควบคุมแบบละเอียด ทีละตัว

"สรุปเมื่อวิเคราะมันร่วมกันแล้วจะเห็นได้เลยว่า Macro จะเป็นตัวที่มีหน้าที่ควบคุม Micro อีกที แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคุมไปทั้งหมด เพราะว่าตัวที่คอยคุมอย่างละเอียดคือ Micro"
-เลยคิดเล่นๆได้ว่าต้องเป็นระบบอะไรอย่าง ที่ต้องขาดกันไปไม่ได้ เมื่อมี Micro ก็มี Macro เพื่อคุมเป็นระบบใหญ่
-แต่ถ้ามี Macro ยังไงก็จะเกิด Micro ตามมา
ก็ลองมาเปรียบเทียบให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นตือ ตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น

พล.ต.อ. POLICE GENERAL ( POL.GEN.)
พล.ต.ท. POLICE LTEUTENANT GENERAL (POL.LT.GEN.)
พล.ต.ต. POLICE MAJOR GENERAL (POL.MAJ.GEN.)
พ.ต.อ. POLICE COLONEL (POL.COL.)
พ.ต.ท. POLICE LIEUT ENANT COLONEL. (POL.LT.COL.)
พ.ต.ต. POLICE MAJOR (POL.MJ.)
ร.ต.อ. POLICE CAPTAIN (POL.CAPT.)
ร.ต.ท. POLICE LIEUTENANT (POL.LT.)
ร.ต.ต. POLICE SUB-TEUTENANT (POL.SUB.LT.)
ด.ต. POLICE SENIOR SERGENANT MAJOR (POL.SEN.SGT.MAJ.)
จ.ส.ต. POLICE SERGEANT MAJOR (POL.SGT.)
ส.ต.อ. POLICE SERGEANT (POL.SGT.)
ส.ต.ท. POLICE LANCE COPORAL (POL.L/C)
ส.ต.ต. POLICE CONSTABLE (POL.CONST.)
เนี่ยแหละคับน่าจะเข้าใจ แต่จะทำอะไร ยังไง ก็ต้องคิดกันต่อไปคับ

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

การ "Random"

Random หรือ การสุ่ม คือ การเลือก "ผลลัพธ์" จาก "จำนวนจำนวนหนึ่งที่กำหนดไว้" ขึ้นมา โดย "สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป" จะเป็นตัวก่อผลกระทบ เพื่อให้ "ผลลัพธ์" ไม่สามารถคัดการณ์ได้

"สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป" ผมหมายถึง อะไรก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เราทำ "การสุ่ม" อยู่ คือ "สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป" ทั้งหมด และที่เห็นได้ชัดๆคือ "เวลา" เพราะมันไม่เคยหยุดนิ่ง(แม้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างคงที่)

"การสุ่ม" ในความคิดของผม จึงหมายความว่า การต้องค่าที่ไม่สามารถคาดเดาได้
แต่ถ้าเราทราบ "สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป" เราก็สามารถคาดการณ์ "การสุ่ม" นั้นได้ ซึ่งถึงตอนนั้นเราคงจะไม่เรียกว่า "การสุ่ม" แล้วหละครับผมว่า
ผมไม่รู้ว่าคำสั่ง random ในแต่ละโปรแกรมนั้นใช้พื้นฐานอะไร แต่คงต้องเกี่ยวกับ "สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป" อย่างจงใจ ไม่งั้นมันคงไม่เรียก random จริงไหมครับ
"ถ้าลองเปรียบเทียบกับการ "สุ่ม" ต่างๆ ในเกมล่ะ? มันเป็นเพียงสิ่งที่คาดการไม่ได้และเปลี่ยนแปลงอยู่เท่านั้นเองหรือ?"
ผมว่าการสุ่มนั้น คาดการณ์ได้และมีเหตุผลนะครับ เพราะมันอยู่ในขอบเขตที่เรา รับรู้ ควบคุม หรือทำการวัดได้ คือถ้าเราสามารถตรวจสอบวิธีการทำงานของเกม หาการอ้างอิงที่เกมใช้เป็นการสุ่ม(คือการหา "สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป") เราก็สามารถคาดการณ์ได้
ซึ่งเกมคงไม่เปิดโอกาสให้กับผู้เล่นมากนักที่จะให้คาดการณ์ ไม่งั้นคงหมดสนุกแน่
แต่ในสุ่มที่ ยกตัวอย่างอีกกรณีนั้น (เช่นโยนลูกเต๋า ทุบกระจก) สิ่งที่เป็น "สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป" ไม่ได้มีแค่ 1 หรือ 2 อย่าง แต่มีนับไม่ถ้วน (เพราะเรายังไม่รู้อะไรอีกมากนักที่ก่อผลกระทบ) มันจึงไม่มีทางเลยที่จะออกมาตรงทุกครั้ง ต่อให้ลูกเต๋าออกเลขเหมือน แต่มุมที่ตกกระทบแต่ครั้งก็คงไม่มีทางเหมือนกัน
ซึ่งผมคิดเล่นๆนะครับว่า ถ้าต่อไปเราสามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ เราคงคาดการณ์อนาคตได้ และ "การสุ่ม" ก็จะถูกใช้ในกรณีที่เราไม่ต้องการคาดการได้เท่านั้น

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2551

การทดลองกับ BINGO

"ผมทดลองเกี่ยวกับบิงโกครับ"

ทดลองมาได้ซักระยะนึงก็จะสังเกตุจากการที่เล่น

-เลขทุกตัวตั้งแต่ 1-75 มีเปอร์เซ็นในการออกที่เท่ากัน

-ในบางใบของ "BINGO" แต่เลขตัวนั้นก็จะไม่ค่อยออก

แต่บางใบไม่มีทีท่าว่าจะออก แต่สุดท้ายในรอบนั้น "BINGO" (เป็นบ่อยในแต่ละรอบ แต่ก็ไม่เป็นทุกรอบที่เล่น) จึงน่าจะเป็นไปได้ว่า น่าจะอยู่ที่จังหวะของเวลาด้วย

-ในกระดาษ"BINGO"ในแต่ละใบ และในการเล่นแต่ระรอบที่เล่นไป เบี้ยเปล่าจะถูกนำไปวางกับหมายเลขที่ออกในแต่ละใบ

-เมื่อเล่นจบเกมส์ในแต่ละรอบ จะเกิดช่องว่างที่ตัดกับตัวเบี้ยทำให้เกิดพื้นที่บางอย่าง

เมื่อจบรอบที่ได้เล่นแต่ละครั้ง จะเกิดช่องว่างที่ตัดกับตัวเบี้ย ไม่เหมือนกันเลยทุกครั้ง

(เหมือนตัวอย่าง ในบางชุดที่ทำการทดลองเอามาให้ดูครับ)

-มีจุดศูนย์กลางเป็นเบี้ยฟรี1ตัว

ผมสรุปได้จากการที่เล่น BINGO ว่า

1.เป็นเกมส์ที่ใช้พื้นที่ โดยมีกฏใหญ่ที่คอยคุมคือการ Random ตัวเลข

2.เวลาจะเป็นตัวช่วยของ Random

3.มีจุดศูนย์กลาง เป็นเบี้ยฟรี 1 ตัว คอยเชื่อมในเกมส์

4.เบี้ยจะกระจายไม่เต็มในในบิงโกของผู้เล่น ทำให้เกิดช่องว่างตัดกับตัวเบี้ย

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551

Bingo

กติกาการเล่น


ผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง จะต้องเป็น "ผู้ขานเบี้ย" ซึ่งจะเขย่าและประกาศ เมื่อเบี้ยในกล่อง (75 อัน)


ออกมาทีละอัน เช่นเบี้ยที่เขย่าออกมาเป็น 15 ผู้เล่นคนใดที่มีหลายเลขนี้ ในบัตร "BINGO" ของตน


จะหยิบเบี้ยเปล่าวางไว้ในช่องนั้น








จากนั้นก็จะเล่นต่อไปจนกว่าจะมีผู้เล่นคนใดคนหนึ่งวางในบัตรบิง "BINGO" ของตนเหมือนกับตัวอย่าง 6


ตัวอย่างนี้ อันใดอันหนึ่ง ผู้เล่นผู้นั้นจะประกาศว่า "BINGO" การเล่นในเกมส์นั้นจะจบลง








จากนั้นก็จะมีการนับคะแนน ตามที่ปรากฏในแถวนั้น โดยที่ "ผู้ประกาศเบี้ย" จะทำการตรวจสอบกับเบี้ยที่ ประกาศมาแล้ว ว่าตรงกันหรือไม่ ถ้าตรงกันผู้นั้นก็เป็นผู้ชนะ





FREE หมายถึง ช่องที่ผู่เล่นทุกคนมีสิทวางเบี้ยได้ทันทีที่เริ่มการแข่งขัน




ในกรณีที่ผู้เล่น ประกาศว่า บิงโก พร้อมกัน 2 คน "ผู้ประกาศเบี้ย" จะทำการตรวจเบี้ยและนับคะแนนมากที่สุด

จะเป็นผู้ชนะเลิศ